อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ จับสัญญาณ โจ ไบเดน อัดฉีด 1.9 ล้านล้านดอลล์ คล้ายวิกฤตซับไพรม์ โควิดรอบแรก ดันทองคำไปต่อ
นายธีรรัฐ จุฑาวรากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท อินเตอร์โกลด์ โกลด์เทรด จำกัด เปิดเผยว่า กรณีนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมายเยียวยาโควิด-19 มูลค่ารวม 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายแจกเงินครั้งที่ 2 ในจำนวนมหาศาลใกล้เคียงกับการระบาดโควิด-19 ครั้งแรกที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบสหรัฐฯ ได้อัดฉีดเงินเข้าระบบ
นายธีรรัฐ กล่าวว่า การอัดฉีดครั้งนี้ของนายโจ เบเดน มีคำถามว่าจะมีผลอย่างไรกับราคาทองคำ ดังนั้นจะนำเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่เป็นกรณีใกล้เคียงกันคือประธานาธิบดีสหรัฐฯอาศัยอำนาจในการลงนามบังคับใช้กฎหมาย มาปรียบเทียบกับราคาทองคำ โดยในปี 2021 นี้ (พ.ศ.2564) ใช้เงินงบประมาณ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ เยียวยาชาวอเมริกันจากผลกระทบโควิด-19 โดยจ่ายเงินโดยตรงแก่ชาวอเมริกัน 1,400 ดอลลาร์ต่อคน
และอีก 2 เหตุการณ์ในอดีต คือ ปี 2020 (พ.ศ.2563) ใช้เงินงบประมาณ 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ เยียวยาชาวอเมริกันจากผลกระทบโควิด-19 โดยจ่ายเงินให้ชาวอเมริกันที่เป็นผู้จ่ายภาษี จำนวน 1,200 ดอลลาร์ต่อคน และปี 2008 (พ.ศ.2551) ใช้เงินงบประมาณ 1.58 แสนล้านดอลลาร์ เพื่อลดผลกระทบของชาวอเมริกันจากเหตุการณ์วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤตซับไพรม์ โดยชาวอเมริกันที่เป็นผู้เสียภาษีสามารถขอคืนภาษีได้ 300 ดอลลาร์ต่อคน กรณีมีภาระเลี้ยงดูบุตรสามารถขอคืนภาษีได้ไม่เกิน 600 ดอลลาร์ต่อคน
นายธีรรัฐ กล่าวว่า ทั้ง 3 เหตุการณ์ รัฐบาลสหรัฐฯใช้วิธีจ่ายเงินให้ชาวอเมริกันโดยตรง โดยอิงจากฐานผู้เสียภาษี ซึ่งผลของการดำเนินการในทุกครั้งหลังประธานาธิบดีลงนามในคำสั่งจะพบว่าราคาทองมักมีการปรับตัวลงเล็กน้อย ก่อนจะทยานปรับตัวขึ้น และผลจากมาตรการในระยะยาวจะส่งผลให้ราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ เพราะแม้มาตราการดังกล่าวจะสามารถช่วยเยียวยาเศรษฐกิจได้จริง แต่อาจเป็นตัวเร่งเงินเฟ้อคาดการณ์ในอนาคตได้ เพราะทุกวิกฤตใดๆย่อมต้องมีวันจบและเข้าสู่การฟื้นตัวได้ในที่สุด ซึ่งการฟื้นตัวมาพร้อมกับการจับจ่ายใช้สอยในระดับเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือเงินที่อัดฉีดเข้าไปในระบบยังคงอยู่ ผลก็คือทำให้เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นเร็วกว่าปกติ ส่งผลต่อราคาทองมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้เช่นกัน
นายธีรรัฐ กล่าวว่า การอัดฉีดเงินเยียวยาของนายไบเดนครั้งนี้สถานการณ์คล้ายกับเหตุการณ์ที่่ผ่านมา คือราคาทองปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวโน้มขาขึ้น ขณะที่ภาพเศรษฐกิจโลกในปี 2008 และ 2020 มีความคล้ายกับปัจจุบัน คืออยู่ในช่วงวิกฤตรอการฟื้นฟู มาตรการดังกล่าวที่ออกมามักเป็นมุมมองที่บวกต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จึงทำให้ผลของนโยบายดังกล่าวในระยะสั้นกดราคาทองให้ต่ำลง แต่ท้ายที่สุด ทิศทางของทองคำในระยะยาวยังคงเป็นบวก และปรับตัวขึ้นต่ออีกครั้งหลังจากข่าวได้ถูกซึมซับไปแล้ว ดังนั้นราคาทองหลังจากการลงนามบังคับใช้กฎหมายของนายโจ ไบเดน มีโอกาสที่จะเริ่มปรับตัวขึ้น