fbpx
Card image cap

เงิน 4 ด้าน : เคล็ดลับของคนรวยที่เราไม่รู้

วันที่ 26 กันยายน 2561 เวลา 13.41 น.

เงิน 4 ด้าน : เคล็ดลับของคนรวยที่เราไม่รู้

หากพูดถึงคนรวยแน่นอนว่าเราต้องพูดถึงทรัพย์สินที่เขามี บ้าน เงิน รถ หรือแม้แต่ทองคำ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นเราก็คงคิดว่าเขาโชคดีจัง ทำไมเข้าถึงมีเงินทองมากมายขนาดนี้ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าจริงๆแล้วเหล่ามหาเศรษฐีของโลกนี้เขาก็มีเคล็ดลับให้ได้มาซึ่งความร่ำรวย เคล็ดลับนั้นจะเป็นอะไรติดตามกันได้เลยครับ

1. E (Employee: ลูกจ้าง)

การหาเงินที่ได้มาจากการรับจ้าง เรียกว่าเอาหยาดเหงื่อแรงกายเข้าแลก ต้องเหน็ดเหนื่อย ทนร้อน บางครั้งอาจต้องทนคำบ่นจากผู้จ้าง รับค่าจ้างเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือก็เป็นรายเดือน อยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องเอาแรงและเวลาไปแลกเงินมากขึ้น เช่น พนักงานประจำอยากได้เงินมากขึ้น ก็ต้องทำ OT เป็นต้น คนส่วนใหญ่จะได้เงินจากวิธีนี้ จะว่าไปก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่ขาดอิสรภาพหลายๆ อย่าง เพราะวิธีและตารางเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต จะมีนายจ้างเป็นผู้กำหนด ป่วยก็ต้องลา จะหยุดก็ต้องลา

น่าเสียดายที่คนในด้าน E มุ่งเน้นแต่แสวงหาความมั่นคง แต่เขาไม่รู้เลยว่า วันดีคืนดีเขาอาจจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไรก็ได้ บริษัทอาจจะต้องปิดตัวหรือปลดคนงานออกเพื่อลดต้นทุน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คนด้าน E ไม่สามารถควบคุมได้

2. S (Self – Employed: กิจการส่วนตัวหรือเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก)

เป็นเงินที่มาจากการทำอาชีพส่วนตัว งานนี้แม้จะมีอิสระและดูเหมือนว่าจะดูดีกว่าแบบที่หนึ่ง เพราะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของกิจการเอง ตัดสินใจเอง บริหารจัดการเอง แต่ในความเป็นจริง เหนื่อยมาก เพราะต้องพบกับคู่แข่งทางการค้าที่หลากหลาย และต้องสร้างสมประสบการณ์ที่มากพอ สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ จำนวนเงินทุน หากเรามีทุนน้อย ก็ไม่สามารถที่จะไปต่อกรกับคู่แข่งที่มีทุนมากกว่า จากสถิติพบว่า คนที่เริ่มต้นกิจการใหม่ๆ ส่วนใหญ่จะล้มเหลวหรือล้มเลิกไปภายใน 3 ถึง 5 ปีจะเห็นว่า การจะหาเงินจากวิธีนี้ก็ไม่ได้ง่ายนัก ค่าเฉลี่ยความสำเร็จอยู่ที่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าสามารถยืนหยัดและมีแนวความคิดที่โดดเด่น ก็สามารถสร้างผลตอบแทนหรือมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ คุ้มค่ากับความเหนื่อยยาก และสามารถต่อยอดขยาย ธุรกิจออกไปจนใหญ่โต สร้างงานให้คนกลุ่มแรกได้

ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ S ที่สำคัญที่สุดคือ ” เวลา “ เพราะเราไม่สามารถหยุดทำงานได้ เช่นหากเราเป็นเจ้าของร้าน หากเราต้องการปิดร้านเพื่อไปพักผ่อน รายได้ของเรา (จากร้านค้าของเรา) ในวันนั้น ก็จะไม่มี

3. B (BUSINESS OWNER: เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรือเจ้าของบริษัท)

คือเงินที่ได้จากการทำธุรกิจ รายได้กลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เติบโตและถูกต่อยอดมาจากการประกอบอาชีพส่วนตัว เมื่อประสบความสำเร็จก็ขยายสาขาหรือเพิ่มสินค้า แตกธุรกิจไปเป็นสาขาอื่น ส่วนใหญ่เจ้าของธุรกิจจะไม่ต้องลงแรงเองแล้ว จะใช้วิธีจ้างคนเก่งมาทำงานแทน เจ้าของก็นั่งดูแลหรือบริหารในภาพรวม งานลักษณะนี้ถือเป็นการงานขนาดใหญ่ ต้องมีทุนมากหรือมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่เพียงพอ ผู้บริหารจะต้องบริหารจัดการให้ดี มีการแบ่งแยกงานหลายระดับหลายหน้าที่ คนที่เป็นเจ้าของแม้ไม่เหนื่อยกายมาก ก็ต้องเหนื่อยใจ หรือเหนื่อยในการที่จะต้องพบปะบริหารจัดการเรื่องคนแทน ส่วนค่าตอบแทนถือว่ามหาศาล หากธุรกิจดำเนินไปด้วยดี การทำเงินแบบคนด้าน B คือการสร้างธุรกิจขึ้นและจ้างให้คนอื่นมาทำงานให้ธุรกิจของเราเติบโต (ก็คือจ้างคนกลุ่ม E และ S มาทำแทนให้เรา) เป็นการทำงานเป็นทีม รายได้ไม่มีขีดจำกัด

ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ B คือ “ความรู้ทางด้านการเงิน” การเริ่มต้นสร้างธุรกิจต้องใช้ความรู้ทางด้านการเงินเพื่อช่วยควบคุมความเสี่ยงต่อการขาดทุน หลายๆ คนไม่สามารถก้าวข้ามสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจได้ เพราะกลัวเสียเงินนั่นเอง

4. I (INVESTOR: นักลงทุน)

เป็นรายได้จากการลงทุน หมายถึงนำเงินไปต่อเงิน หรือให้เงินทำงานแทนเรานั่นเอง รายได้แบบนี้ส่วนใหญ่เราไม่ต้องลงแรง หรือเหนื่อยยากอะไร เพียงแต่ต้องมีความรู้และประสบการณ์ที่เชี่ยวกราก หรือเรียกว่า เขี้ยวลากดินก็ได้ เพราะในหมู่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนผ่านวิกฤตต่างๆ มานับนับไม่ถ้วน เพราะการลงทุนแม้ไม่ต้องออกแรงกาย แต่ต้องใช้แรงสมอง และทุกการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ถ้าต้องการผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูง ถ้าต้องการความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย แต่ไม่ใช่ทุกการลงทุนที่จะสร้างรายได้ มีหลายครั้งที่นักลงทุนพลาด เสียเงินเสียทองก็เยอะเหมือนกัน การลงทุนมีหลายรูปแบบ เช่น ลงทุนหุ้น เพื่อหวังปันผล ลงทุนซื้อที่ดิน ลงทุนทองคำ หรือพวกบ้านคอนโด เพื่อรอผลตอบแทนในระยะยาว หรือแม้กระทั่งซื้อธุรกิจ กิจการมาในราคาถูก นำมาบริหารจัดการสร้างผลตอบแทนที่ดี หรือนำมาปั้นเสร็จแล้วขายออกไปก็ได้ การทำเงินแบบคนด้าน I คือ มองหาการลงทุนที่สามารถใช้เงินของเรา ออกไปทำงาน สร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมาให้เรา

ข้อจำกัดของการทำเงินแบบ I คือ “ความรู้ทางด้านการเงิน” ผู้ที่เริ่มต้นอาจจะต้องผิดพลาด ล้มเหลวบ้างแต่ทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นประสบการณ์ทำให้มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น ผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการเงินมากเท่าไร จะเป็นผู้ที่ทำเงินได้มากที่สุด และมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

จะเห็นได้ว่า เคล็ดลับความร่ำรวยอยู่ที่การทำเงินในด้าน B และ I ที่ทำเงินได้มาก ในขณะที่เราใช้เวลาในการทำงานน้อยลง

ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่ประสบความสำเร็จในตลาดการลงทุนทองคำ แทบจะเป็นจำนวนน้อยมากที่ไม่เคยขาดทุน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรียนรู้จากประสบการณ์ เรียนรู้จากความผิดพลาด ทองคำที่เคยเป็นเพียงของสวยงามก็กลายเป็นสินทรัพย์ที่ช่วยสร้างกระแสเงินสดให้ได้อย่างมากมาย ตัวอย่างง่ายๆ หากท่านซื้อทำคำแท่งเก็บไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วราคาบาทละ ไม่ถึง 20,000 บาท แต่หากท่านขายในราคาปัจจุบันบาทละเกือบ 25,000 บาท นี่แหละเรียกว่าการลงทุน

รู้หรือยังตอนนี้เราอยู่ด้านไหนของเงิน 4 ด้าน และครอบครัวของเรา คนรักและญาติๆ ของเรา เขามีรายได้จากด้านไหนบ้าง? เมื่อเรารู้แล้วว่าเราอยู่ด้านไหนแล้ว เราต้องการจะอยู่ด้านไหนมากกว่ากัน?

อย่าละเลยที่จะฝันและมีความเชื่อมั่น แล้วคุณจะประสบความสำเร็จ”

 

#ซื้อขายทองคำแท่ง #ซื้อขายทองคำแท่งออนไลน์ #ทองคำ
#อินเตอร์โกลด์ #InterGOLD #ลงทุนทองคำแท่ง
สามารถติดตามบทวิเคราะห์ได้ที่: https://www.youtube.com/intergoldgoldtrade
 สนใจลงทุนทองคำแท่งหรือติดตามข่าวสารได้ที่
 Website : www.intergold.co.th
 Line : @intergold
 Facebook : https://www.facebook.com/IntergoldPage/
Call : 02 – 2233 – 234



ราคาทอง
29 มีนาคม 2567 | 15:55:48

ประเภท รับซื้อ ขายออก
LBMA
99.99% (Baht)
39,920

+1.00

40,020

+1.00

InterGold
96.5% (Baht)
38,515

+1.00

38,625

+1.00

สมาคมฯ
96.5% (Baht)
38,450

0.00

38,550

0.00

Gold Spot
(USD)
2,232.57

0.00

2,233.28

0.00

ค่าเงินบาท
(USDTHB)
-
36.51

0.00

ราคาทองคำย้อนหลัง
ความเคลื่อนไหวกองทุนทองคำ
29 มีนาคม 2567 | 15:54:02

SPDR (ton) (USD) HUI (USD)
830.15

0.00

238.60

-0.43